วิจัยกรุงศรี ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.1%
วิจัยกรุงศรี ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.1%
วิจัยกรุงศรี ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.1%
จากความเสี่ยงซ้อน นโยบายการค้าสหรัฐฯ ปัจจัยกดดันในประเทศ
แม้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัวได้ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงกว่าคาดเล็กน้อย แต่โครงสร้างภายในยังเปราะบาง โดยการส่งออกที่ขยายตัวได้ถึง 15% ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งส่งออก (front-loading) ก่อนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งชี้ว่าแรงส่งจากภาคต่างประเทศอาจไม่ยั่งยืน
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่องแม้การลงทุนภาครัฐเติบโตสูง สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านอุปสงค์ภายในประเทศและความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องประสบกับความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีฉากทัศน์ที่หลากหลายและมีความไม่แน่นอนสูง
อีกทั้งยังมีความเสี่ยงซ้อนจากความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ความไม่แน่นอนของประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าของการฟื้นตัวในภาคท่องเที่ยว
ปัจจัยดังกล่าวล้วนเพิ่มความเสี่ยงด้านต่ำต่อการเติบโต และอาจเป็นปัญหาที่ฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย โดย วิจัยกรุงศรี ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1) ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา 2) แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงเนื่องจากความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนต่อสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย
และ 3) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องอย่างเป็นวงจร (Negative feedback loop) ผ่านความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน
วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 2.1% ชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.7% ทั้งนี้แรงส่งหลักจะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผนวกกับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่แม้จะฟื้นช้ากว่าคาดแต่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน มาอยู่ที่ 36.5 ล้านคน
อย่างไรก็ตามภาพรวมการค้าระหว่างประเทศยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ตามบริบทของความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ถึงแม้ว่าล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) ศาลการค้าของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งระงับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)
แต่ยังมีความเสี่ยงที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม เช่นกฎหมายการค้าปี 1974 มาตรา 122 ที่อาจทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราไม่เกิน 15%
ซึ่งจากความไม่แน่นอนดังกล่าว การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังจึงยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ ซึ่งการคาดการณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่รวมถึงไทย
ส่งผลให้การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% หลังจากที่เติบโตสูงด้วยอัตราเลขสองหลักในช่วงไตรมาสแรก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงที่ 2.6%
ท่ามกลางแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง แนวโน้มรายได้ภาคเกษตรที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการฟื้นตัวช้าของภาคท่องเที่ยวที่จะกระทบต่อการจ้างงานและรายได้
ในด้านการลงทุนแม้การลงทุนภาครัฐอาจเติบโตถึง 5.8% แต่ยังไม่สามารถเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาเติบโต (Crowding-in effect) ได้ ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากระทบต่อการขยายการลงทุนในภาคบริการ
เพิ่มความเสี่ยงที่การลงทุนภาคเอกชนอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -0.5% นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้ความเสี่ยงของการค้าระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ
บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้
ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทย ยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายสำคัญหลายประการ ได้แก่ (i) นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงสูง (ii) ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบาง
(iii) ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านพื้นที่ทางการคลัง และ (iv) ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่ลดลง ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว
“แม้ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก แต่เมื่อผนวกกับแรงกดดันภายใน อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าหลายประเทศ
ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเชิงนโยบายควบคู่ไปกับการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์” ดร.พิมพ์นารา กล่าวสรุป
ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568
% เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน |
2566 |
2567 |
2568F |
GDP |
2.0 |
2.5 |
2.1 |
การบริโภคภาคเอกชน |
6.9 |
4.4 |
2.6 |
การบริโภคภาครัฐ |
-4.7 |
2.5 |
1.5 |
การลงทุนภาคเอกชน |
3.1 |
-1.6 |
-0.5 |
การลงทุนภาครัฐ |
-4.2 |
4.8 |
5.8 |
มูลค่าส่งออก (สกุลดอลลาร์) |
-1.5 |
5.8 |
2.0 |
มูลค่านำเข้า (สกุลดอลลาร์) |
-3.8 |
6.3 |
2.2 |
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ล้านคน) |
28.2 |
35.5 |
36.5 |
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป |
1.2 |
0.4 |
0.6 |
ที่มา: วิจัยกรุงศรี
31 พฤษภาคม 2568
ผู้ชม 165 ครั้ง