ภาษีสหรัฐฯกระชาก!จีดีพีไทยปี68โตต่ำกว่าเป้าเหลือ2%
ภาษีสหรัฐฯกระชาก!จีดีพีไทยปี68โตต่ำกว่าเป้าเหลือ2%
ภาษีสหรัฐฯกระชาก!จีดีพีไทยปี68โตต่ำกว่าเป้าเหลือ2%
ฉุด!ส่งออกติดลบ-แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบฯขั้นต่ำ70%หนุน
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ร่วมในการแถลงข่าว
โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการ พิจารณาทางกฎหมาย นอกจากนี้ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษี sectoral tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50%
อย่างไรก็ตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง
แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1%YOY แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน
หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1%YOY เท่านั้น โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง
ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15%YOY ตามการเร่งส่งออก แต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตซึ่งขยายตัวเพียง 0.6%YOY โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง
เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ที่ 2.1% โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง
ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เหลือหลังจากนี้จะไม่ถึง 1% ดังนั้นจึงได้มีการปรับลดการเติบโตของการส่งออกในปี 2568 ลงมาด้วยเหลือ -0.5% ถึง 0.3%
ทั้งนี้การที่เศรษฐกิจปี 2568 จะเติบโตได้ที่ 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทเป็นสำคัญ เนื่องจากเหลือระยะเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้แม้คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0%YOY แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1%YOY โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง
ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน ดังนั้นมาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง
อีกทั้งควรมีความยืดหยุ่นและสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด
รวมทั้งป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก และสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก ตลอดจนป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด รวมทั้งป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก
ที่ประชุม กกร. มีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม
นอกจากนี้ประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงด้านการนำเข้ากับส่งออก ที่ทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจในเชิงลึก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหา re-export ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร.
%YoY |
ปี 2568 (ณ เม.ย. 68) |
ปี 2568 (ณ พ.ค. 68) |
ปี 2568 (ณ มิ.ย. 68) |
GDP |
2.4 ถึง 2.9 |
2.0 ถึง 2.2 |
1.5 ถึง 2.0 |
ส่งออก |
1.5 ถึง 2.5 |
0.3 ถึง 0.9 |
-0.5 ถึง 0.3 |
เงินเฟ้อ |
0.8 ถึง 1.2 |
0.5 ถึง 1.0 |
0.5 ถึง 1.0 |
นอกจากนั้น กกร. ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาอัตราภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกรอบเวลาในการเจรจายังไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงสูง
โดยเชื่อมโยงกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา โดยระยะเวลาผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568
อย่างไรก็ตามกกร. เห็นด้วยกับการขยายเวลาลงทะเบียนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 1 จนถึง 30 มิถุนายน 2568 และแนวทาง เฟส 2 ที่ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าโครงการได้
เช่น ผ่อนเกณฑ์เรื่องการค้างชำระหนี้สำหรับลูกค้าที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ ในมาตรการ “จ่ายตรงคงทรัพย์” และการขยายภาระหนี้ที่สามารถเข้ามาตรการ “จ่าย ปิด จบ” ได้
อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับในระยะถัดไป โดยเฉพาะการสร้างรายได้ เสริมสวัสดิการ ให้ลูกหนี้มีศักยภาพได้ด้วยตนเองภายหลังจบโครงการ 3 ปี เพื่อไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุไปเรื่อยๆ
นอกจากนั้นที่ประชุม กกร. ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้
โดยมองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารฯเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์
อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่นต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบในภาคเกษตรฯ ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยทั้งจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แรงกดดันจากสงครามการค้า และการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ
ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ดังนั้นเพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้า
สำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง (กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย) ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท
โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด จากเดิมที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 ปรับเหลือ 0.8 เท่า
ทั้งนี้อาจปรับเพิ่มวงเงินขึ้นตามสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการที่มีการผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า โดยการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนสูง
04 มิถุนายน 2568
ผู้ชม 87 ครั้ง